สงครามรัสเซียกับยูเครน เข้าสู่เดือนที่ 2 กองทัพรัสเซียบุกโจมตีอย่างหนัก ยังไม่บรรลุเป้าหมาย ตีกรุงเคียฟ ไม่แตก เพราะความแข็งแกร่งของกองทัพยูเครนเกินคาดหมาย จนสามารถเริ่มยึดคืนดินแดนบางส่วนกลับคืนมาได้ พน่าสะเทือนใจสร้างความบอบช้ำ และมีผู้อพยพหนีการสู้รบไปประเทศเพื่อนบ้าน อีก 10 ล้านคน ตั้งแต่รัสเซีย เปิดฉากโจมตีเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 หลายฝ่ายหวังว่าการเจรจาน่าจะยุติสงครามระหว่าง 2 ประเทศ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง“น.อ.สัมฤทธิ์ ทองอินทร์” ผู้เขียนหนังสือสงครามโลกครั้งที่ 3 และได้ปรับปรุงเนื้อหาเพิ่มเติม จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่าไว้วางใจ โดยมองว่า สงครามรัสเซียกับยูเครน เป็นตัวเร่งเพิ่มแรงดันให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เร็วขึ้น จากไฟต์บังคับที่หลีกไม่ได้ เพราะรัสเซียต้องจับมือกับจีนและชาติตะวันออกกลาง ให้สนิทแนบแน่นมากขึ้น “มากกว่าเดือนเศษที่ชาวโลกได้ประจักษ์ ทั้งได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ว่ามหาอำนาจเบอร์หนึ่ง นำโดยสหรัฐฯ และนาโตกับคู่ปรับเอก คือรัสเซียและจีน ได้ประลองกำลังทางทหารเศรษฐกิจและการเมือง ชนิดที่ทุกคนได้รับผลกระทบมากน้อยเหมือนกันทั้งโลก โดยมียูเครน ซึ่งรัสเซียประกาศสงครามเต็มรูปแบบ เป็นตัวขับเคลื่อน แบกรับภาระศึกครั้งนี้ไปเต็มๆ ไม่ต้องพูดถึงการฟื้นฟูประเทศ เก่งแค่ไหนเงินมากแค่ไหน ก็ใช้เวลาเกิน 10 ปี”สงครามความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครน …
ทางการยูเครนเผย รัสเซียยิงจรวดโจมตีเมืองลวิฟ โดนคลังเก็บเชื้อเพลิง และโรงงานแห่งหนึ่งเสียหาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 รายสำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า เกิดเหตุระเบิดหลายครั้งภายในเมืองลวิฟ ทางตะวันตกของยูเครน เมื่อวันเสาร์ที่ 26 มี.ค. 2565 โดยนายมัคซีม โคซีตสกี ผู้ว่าการแคว้นลวิฟ ระบุว่า จรวดถูกยิงเข้าใส่คลังเก็บเชื้อเพลิงและโรงงานแห่งหนึ่ง มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 5 รายพื้นที่ทางตะวันตกของยูเครนไม่ได้รับผลกระทบจากการบุกโจมตีของรัสเซียมากนัก โดยเมืองลวิฟกลายเป็นศูนย์รวมของผู้อพยพหลายแสนคนที่หนีภัยสงครามจากพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รัสเซียเริ่มเปิดฉากโจมตีภาคตะวันตกของยูเครนมากขึ้น นายอันเดรย์ ซาโดวี นายกเทศมนตรีเมืองลวิฟ กล่าวว่า การโจมตีในวันนี้ เป็นความพยายามของผู้รุกรานที่จะส่งข้อความถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ที่ตอนนี้อยู่ในโปแลนด์ด้านความเคลื่อนไหวอื่นๆ เจ้าหน้าที่ยูเครนระบุว่า เมืองสลาวูติช ซึ่งเป็นที่อยู่ของพนักงานโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล ถูกทหารรัสเซียบุกยึดครองแล้ว โดยชาวบ้านออกมาโบกธชาติยูเครนและร้องเพลงชาติ เพื่อแสดงการต่อต้าน ส่วนที่เมืองคาร์คิฟ ทหารรัสเซียยิงอาวุธเข้าใส่โรงงานวิจัยนิวเคลียร์แห่งหนึ่ง แต่พวกเขายังไม่สามารถประเมินความเสียหายได้
ยูเครนแข่งกับเวลา หาทางช่วยชีวิตประชาชนราว 1,300 คนที่ยังติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังในโรงละครที่เมืองมาริอูโปล หลังโดนรัสเซียถล่มมาแล้ว 3 คืนเมื่อ 19 มี.ค. 65 เดลี่เมลรายงาน ทีมกู้ภัยทำงานแข่งกับเวลา พยายามช่วยชีวิตพลเมืองราว 1,300 คน ซึ่งรวมทั้งผู้หญิงและเด็ก ที่คาดว่ายังคงติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังของโรงละครดราม่า เธียเตอร์ ในเมืองมาริอูโปล ทางภาคใต้ของยูเครน ซึ่งถูกรัสเซียยิงโจมตีอย่างหนักเมื่อวันพุธที่ 16 มีนาคม ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ในขณะที่เวลานี้ กำลังทหารรัสเซียกำลังโอบล้อมเมืองมาริอูโปลเอาไว้และยังคงระดมโจมตีเข้ามาในเมืองอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้คนกว่าพันคนต้องติดอยู่ใต้โรงละครอย่างหมดหนทางมานานถึง 3 คืนแล้ว โดยมีส.ส.ในพื้นที่คนหนึ่งเผยว่า ผู้คนที่ติดอยู่ในโรงละครพยายามรื้อซากปูนซากปรักหักพัง เพื่อหาทางออกมา เนื่องจากทีมกู้ภัยด้านนอกต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากจากการที่รัสเซียยังยิงโจมตีไม่หยุด อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนประกาศว่า จะยังคงดำเนินปฏิบัติการกู้ภัยเพื่อช่วยเหลือประชาชนเหล่านี้ที่ติดอยู่ในโรงละครออกมาให้ได้อย่างสุดความสามารถ นายวาดิม บอยเชนโก นายกเทศมนตรีเมืองมาริอูโปลกล่าวว่า ขณะนี้รัสเซียยังคงใช้รถถังยิงปืนใหญ่และยิงปืนกลปะทะกับทหารในเมืองมาริอูโปลอย่างดุเดือด ใจกลางเมืองพังพินาศ และในเมืองมาริอูโปลไม่มีพื้นที่ไหนที่ไม่เห็นร่องรอยของสงคราม
เกิดเหตุโจมตีโรงพยาบาลเด็ก ในเมืองมาริอูโปล ทางตอนใต้ของยูเครน มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 17 คน หลังเกิดเหตุ รัฐบาลเคียฟ-สหรัฐ ร่วมประณามรัสเซียทำร้ายผู้บริสุทธิ์บนประเทศอธิปไตย วอนกลุ่มประเทศตะวันตกปิดน่านฟ้า-ร่วมยกระดับคว่ำบาตร เพื่อหยุดยั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 10 มี.ค. ว่า เทศบาลเมืองมาริอูโปล ซึ่งเป็นเมืองท่าอยู่ริมชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ รายงานว่า ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของกองทัพรัสเซีย สร้างความเสียหายให้กับโรงพยาบาลเด็กแห่งหนึ่ง ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 17 คน หนึ่งในนั้นเป็นหญิงซึ่งมีอายุครรภ์ใกล้คลอดบุตร ขณะที่ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี กล่าวว่า หน่วยกู้ภัยยังคงให้ความช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ภายใต้ซากปรักหักพัง และประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “เป็นอาชญากรรรมสงคราม” พร้อมทั้งเรียกร้องกลุ่มประเทศตะวันตกปิดน่านฟ้า และร่วมกันยกระดับคว่ำบาตร เพื่อหยุดยั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เนื่องจากรัฐบาลมอสโกละเมิดข้อตกลงหยุดยิง แต่นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวเพียงว่า “รัสเซียไม่โจมตีพลเรือน” ในอีกด้านหนึ่ง นางเจน ซากี โฆษกหญิงทำเนียบขาว ประณามเหตุการณ์โจมตีโรงพยาบาลครั้งนี้ ว่าเป็นการทำร้ายผู้บริสุทธิ์บนประเทศอธิปไตยอย่างโจ่งแจ้ง ส่วนคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชอาร์ซี) กล่าวว่า กำลังจับตาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ทางการรัสเซียได้แจ้งกับยูเครนว่าพร้อมที่จะยุติการโจมตีทันที หากยูเครนยอมปฏิบัติตามเงื่อนไข 4 ข้อของรัสเซีย โฆษกรัฐบาลรัสเซีย ดมิทรี เพสคอฟ แถลงในวันจันทร์ว่า เงื่อนไข 4 ข้อที่รัสเซียเสนอเพื่อให้มีการยุติการโจมตี คือ ยูเครนต้องยุติปฏิบัติการทางทหาร, ยูเครนต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีความเป็นกลางมากขึ้น, ยูเครนต้องยอมรับว่าแคว้นไครเมียเป็นของรัสเซีย และยูเครนต้องยอมรับสถานะความเป็นรัฐอิสระของเขตปกครองดอเนตสก์และลูฮันสก์ ในประเด็นที่เกี่ยวกับการปรับแก้รัฐธรรมนูญให้มีความเป็นกลางนั้น โฆษกเพสคอฟอธิบายว่า ยูเครนต้องระบุด้วยว่าจะปฏิเสธการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรความร่วมมือใด ๆ ของชาติตะวันตก โฆษกเพสคอฟ กล่าวกับรอยเตอร์ว่า ยูเครนได้รับทราบเงื่อนไขเหล่านี้แล้ว แต่ยังไม่มีท่าทีใด ๆ ออกมาจากทางรัฐบาลกรุงเคียฟ การเสนอเงื่อนไขดังกล่าวถือเป็นคำแถลงที่แข็งกร้าวที่สุดที่รัสเซียยื่นต่อยูเครนนับตั้งแต่กองทัพรัสเซียบุกโจมตียูเครนเมื่อ 12 วันก่อน การเจรจารอบที่สามยังไม่มีความคืบหน้า ขณะเดียวกัน สำนักข่าวเอพีรายงานว่า การเจรจารอบที่สามระหว่างผู้แทนของยูเครนกับรัสเซียยังไม่ความคืบหน้าเกิดขึ้นมากนัก โดยทางเจ้าหน้าที่ยูเครนระบุว่ามีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยในเรื่องการจัดทำ “ระเบียงมนุษยธรรม” เพื่อให้ประชาชนได้อพยพออกจากพื้นที่สงคราม โดยทางผู้แทนการเจรจาของรัสเซียกล่าวว่าวิกฤตด้านมนุษยธรรมในยูเครนรุนแรงยิ่งขึ้นในวันจันทร์ เมื่อกองทัพรัสเซียยังคงระดมโจมตีใส่หลายเมืองในภาคเหนือและภาคใต้ของยูเครน ขณะที่ประชาชนในเมืองเหล่านั้นต่างประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร น้ำ ไฟฟ้า และยารักษาโรค ที่เมืองมารีอูโพลทางภาคใต้ของยูเครนซึ่งมีประชากร 430,000 คน มีรายงานว่าประชากรราวครึ่งหนึ่งกำลังพยายามหาทางหลบหนีออกจากเมือง ท่ามกลางความหวังว่าจะมีการจัดทำระเบียงมนุษยธรรมขึ้นในเร็ววันนี้
ท่ามกลางวิกฤตที่รัสเซีย ส่งกองทัพบุกเข้าใส่ยูเครน ที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจ โดยตลอดช่วงที่ผ่านมา หลากชาติได้ออกมาแสดงท่าทีต่อต้านการรุกราน และความพยายามก่อสงครามของรัสเซีย ภายใต้การนำของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน โดยเฉพาะประเทศในชาติยุโรป ที่มีทั้งการออกแถลงการณ์ประณาม ไปจนถึงการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ต่อบรรดากลุ่มทุนของรัสเซีย ล่าสุดสื่อดังหลายสำนักของอังกฤษ ได้ออกมานำเสนอเรื่องราวของ รอสซินายา มาร์คอฟสกายา โฆษกสาวสวยของกองทัพรัสเซีย ผู้มีดีกรีเป็นถึงอดีตผู้ประกาศข่าวสาวสวย ที่ถูกแต่งตั้งเป็นโฆษกของกองทัพ นับตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา โดยจะเห็นเธอติดสอยห้อยตาม พลเอกอาวุโส เซียร์เกย์ ชอยกู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของรัสเซีย ขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ แต่ในแง่มุมที่สื่ออังกฤษนำเสนอนั้น กลับไม่ใช่การชื่นชมในความสามารถ หรือความสวยของโฆษกสาวรายนี้ แต่สื่อของอังกฤษวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง พุ่งเป้ามาที่เธอโดยเฉพาะ โดยชี้ว่า สาเหตุที่อดีตผู้ประกาศข่าวสาวได้ดำรงตำแหน่งสำคัญระดับสูงอย่างโฆษกกองทัพ มาจากเหตุผลแค่ 2 ข้อ คือเธอหน้าตาสะสวย และเธอสามารถทนรับเสียงประณามจากนานาประเทศได้ดีกว่าคนอื่นๆ เพียงเท่านั้น โดยคำที่สื่ออย่าง Dailystar หรือ The Sun เลือกใช้ คือการเรียกเธอว่าเธอ Bond Girl หรือ สาวของเจมส์ บอนด์ ที่มักจะถูกนำมาเรียกในลักษณะเหยียดเพศว่า เป็นตัวละครหญิงที่ใส่มาในเรื่อง เพียงเพื่อเติมความเซ็กซี่ให้หนังแอ็กชั่นระห่ำ …